Psyphalien Zero (The Wolf) - Psyphalien Zero (The Wolf) นิยาย Psyphalien Zero (The Wolf) : Dek-D.com - Writer

    Psyphalien Zero (The Wolf)

    หลังจากเตรียมตัวกันมานาน ก็ถึงวันที่ต้องลงมือ จุดจบของทีมทหารรับจ้างสุดชิล จะเป็นเช่นไร?

    ผู้เข้าชมรวม

    142

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    142

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  7 พ.ค. 65 / 15:58 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น


                                                      Psyphalien zero : the wolf                 

    เรื่อง/ภาพ : คนจิตป่วย

     

    “พวกเราฝึกหนักกันมาหลายปีเพื่อวันนี้ เพื่อมนุษย์ชาติเราจะให้มีความผิดพลาดเกิดขึ้นไม่ได้”

    “ครับผม” ผมตะเบ็งเสียงขานรับพร้อมกับกลุ่มคนที่ยืนต่อแถวกันอยู่อย่างพร้อมเพรียง

    “ทุกหน่วยเตรียมพร้อมเข้าประจำที่เราจะออกเดินทางกันใน 10 นาที“ สิ้นเสียงคำประกาศจากนายพลประจำกอง ผมและเหล่าผู้คนที่กำลังยืนต่อแถวกันอยู่ แนบปืนพลังงานเข้าข้างลำตัวและออกวิ่งไปยังรถขนส่งของหน่วยตนเอง เพื่อออกเดินทางไปยังพิกัดศูนย์ 

    ผมนั่งประหม่าร่างกายสั่นสะท้านอยู่บริเวณท้ายสุดของรถ สายตาก็เหม่อมองไปรอบ ๆ ตัวในขณะที่รถเริ่มติดเครื่องออกเดินทาง วินัยนั่งหลับตาทำสมาธิอยู่ด้านขวาของผมเขามักจะทำแบบนี้ประจำทุกครั้งที่เราทำการซ้อมกัน

    เอ็ดก้าที่นั่งอยู่ถัดไปเขาดูกระวนกระวาย เขาเขย่าขาทั้ง 2 ข้างของตนเองเร็ว ๆ และกุมมือปิดปากตัวเองไว้พร้อมทั้งบ่นพึมพำอยู่คนเดียว ตรงกันข้ามกับ เลออส ที่นั่งอยู่ด้านหน้าของผมเขาดูสงบนิ่งมาก ในขณะที่แมรี่สาวสวยประจำหน่วยเธอทำให้ผมทึ่งมาก เพราะเธอกำลังตรวจสอบอาวุธและเสื้อเกราะเพื่อเตรียมพร้อม ดูเหมือนเธอจะเกิดมาเพื่อสิ่งนี้จริงๆ

    “พวกเราต้องไม่รอดแน่ ๆ เลย” ในที่สุดเอ็ดก้าก็โพล่งที่ที่ตัวเองกำลังกังวลออกมา

    “หุปปาก” แมรี่พูดโดยไม่ได้ละสายตาออกจากปืนในมือของเธอ

    “เธอนั่นแหละหุบปาก เธอไม่กลัวบ้างรึไง พวกเราจะตายกันหมดนะ” เอ็ดก้ายังคงปลดปล่อยความกังวลของตัวเองออกทางปากของเขา ส่วนตัวผมเองก็ไม่ค่อยชอบวิธีการคิดของเอ็ดก้าเช่นกัน เขาเป็นพวกขี้ขลาดจอมหวาดระแวง แต่ในส่วนลึกของผมก็บอกว่าถ้าบังเอิญมีคนรอดจากเหตุการณ์นี้ไปได้ล่ะก็ ผมคิดว่าคงเป็นหมอนี่นั่นแหละ ก็เพราะในขณะที่คนอื่นพร้อมที่จะวิ่งเข้าไปหา แต่หมอนี่จะวิ่งหนีหาที่หลบยังไงล่ะ

    “ถ้านายยังไม่หุบปากตัวเองลงล่ะก็ ฉันจะทำให้มันหยุดตอนนี้เอง” แมรี่จ่อปากกระบอกปืนพลังงานของเธอไปที่เอ็ดก้า

    “หยุดเลยนะทั้งคู่นั่นแหละ เอ็ดก้าก็เงียบได้แล้ว” เลออสตวาดใส่ทั้ง 2 คน

    “ถ้ามันหุบปากฉันก็จะหยุด” แมรี่ตอบ

    “พอทีเถอะทั้งคู่นั่นแหละ โหวกเหวกแบบนี้ฉันรวบรวมสมาธิไม่ได้นะ” วินัยถอนใจ

    “นายนี่ทองไม่รู้ร้อนจริง ๆ นะ”เอ็ดก้าเริ่มหันไปโวยวายใส่วินัยแทน

    “ฉันแค่ยอมรับทุกสรรพสิ่งตามที่พระพุทธองค์สอนเท่านั้น” วินัยพูดในขณะที่เขาเริ่มหลับตาลงอีกครั้ง ที่จริงผมก็เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูดนะ แต่จะมีกี่คนที่จะทำใจกับเรื่องแบบนี้ได้

    “วิถีพุทธของนายมันช่วยทำให้พวกเรารอดตายได้รึไง” วินัยลุกขึ้นมายืนประจันหน้ากับเอ็ดก้าที่กำลังส่งสีหน้าเย้ยหยัน

    “แก  มันจะมากเกินไปแล้วนะ” เขาขู่คำรามพร้อมทั้งใช้มือคว้าคอของเอ็ดก้าเอาไว้

    “แกนั่นแหละโว้ยที่เกินไป” เอ็ดก้าดิ้นรนให้ตัวเองหลุดออกจากเงื้อมมือที่แข็งกร้าวของวินัย เขาปลดปืนพกที่เอว ก่อนจะเอามันมาจ่อที่เพื่อนร่วมหน่วยของตัวเอง 

    “พอเลยทั้ง 2 คนนั่นแหละ” ผมใช้มีดสั้นเล่มหนึ่งจ่อคอของวินัยเอาไว้ และอีกเล่มชี้ตรงไปที่บริเวณหัวใจของเอ็ดก้า ไม่ได้อยากจะคุย แต่ผมใช้มีดเก่งพอตัวเลยล่ะ เพราะก่อนที่จะเข้ามาอยู่กับทีมนี้ ผมเติบโตมากับร้านขายอาหาร ถูกฝึกให้ใช้มีดมาตั้งแต่เด็กๆ และผมก็ชอบพวกของมีคมเป็นการส่วนตัวด้วย ผมไปเรียนเคนโด้กับเซ็นเซที่มาเปิดโดโจใกล้ๆ บ้าน พอโตมาหน่อยผมก็หนีออกจากบ้านเพื่อไปเรียนวิชาดาบที่สำนักพุทไธสวรรย์  นินจิสสึ และอีกหลายๆ แห่งที่มีการสอนใช้อาวุธมีคม 

    ก่อนหน้านี้มันอาจจะได้ใช้ประโยชน์อยู่บ้าง แต่ความถนัดของผมมันไม่มีประโยชน์กับสถานการณ์ที่กำลังจะต้องเจอตอนนี้เอาเสียเลย ขนาดตัวผมเองยังไม่รู้เลยว่าผมพกมีดบ้าๆ 2 เล่มนี้ กับดาบแรงสั่นสะเทือนอีก 2 เล่มมาด้วยทำไม มันคงเป็นความเคยชินของผม หรือไม่ก็อาจจะเอาไว้ให้ตัวเองตายได้ข้างๆ สิ่งที่รัก หากภารกิจไม่สำเร็จก็ได้ ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจสาเหตุเหมือนกัน

    วินัยปล่อยมือของเขาออกจากคอของเอ็ดก้า และชูมือทั้ง 2 ข้างของตัวเองขึ้นเหนือศีรษะ “โอเค โอเค ยอม” เขาพูดก่อนจะกลับลงนั่งที่เดิม

    “นายคิดว่ามีดของนายจะเร็วกว่าปืนในมือฉันงั้นรึ ฟิว” เอ็ดก้าหันปืนจ่อตรงมาที่หน้าของผมแทน

    “ลองดูใหมล่ะเอ็ดก้า” ผมกระชับมีดในมือตัวเอง

    “นายบ้ารึเปล่าฟิวถึงได้เอาพวกของเล่นของนายมาด้วย มันใช้ไม่ได้กับภารกิจนี้ซักหน่อย” แมรี่บ่น

    “แหะๆ มันเป็นความเคยชินน่ะ” ผมหันกลับมาส่งยิ้มแห้ง ๆ ให้กับแมรี่

    “เห็นรอยยิ้มแกแล้วหมดอารมณ์จริงๆ” เอ็ดก้าและเลออสเก็บปืนของเขาเข้าที่ โดยที่ผมไม่รู้ว่าเลออสชักปืนออกมาตอนไหน

    “นี่นายเอาปืนออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ยเลออส” แมรี่เองก็สงสัยแบบเดียวกันกับผม

    “ตอนที่พวกนายไม่ทันได้สนใจไง” น่าแปลกที่คำตอบของเขาทำให้ผมโล่งใจอาจจะเป็นเพราะอย่างน้อยผมก็ได้รู้ว่าเลออสยังเป็นมนุษย์ปกติอยู่

    รถขนส่งจอดสนิทก่อนที่ประตูจะถูกเปิดออก พวกเราทุกคนเตรียมพร้อมเคลื่อนที่ตรงไปยังสถานีรบที่เราต้องประจำการ

    “ขอให้เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยเข้าประจำตำแหน่งภายในสิบนาที” สิ้นเสียงประกาศดังออกมาจากเครื่องมือสื่อสาร พวกเราหน่วยหมาป่าที่ 10 ก็ตั้งแถวเคลื่อนที่ไปยังที่หมาย นั่นคือปืนใหญ่ฟูชั่นต่อต้านอากาศยานรุ่นใหม่ที่เพิ่งจะผลิตเสร็จไม่กี่วันมานี่เอง และนี่ก็ถือเป็นการยิงกระสุนจริงเป็นครั้งแรกของมัน 

    ปืนหนึ่งกระบอกต้องใช้คนถึง 5 คน ในการจัดการ ผมนั้นโชคดีที่สุดเพราะได้รับหน้าที่ที่อันตรายที่สุดในทีม นั่นคือการเตรียมกระสุนเพื่อบรรจุ และขนปลอกกระสุนปืนไปทิ้ง...ใช่จริงๆ แล้วมันน่าอนาถมากผมยอมรับ แต่ช่วยไม่ได้ก็ฝีมือการจัดการอุปกรณ์ทันสมัยพวกนี้ของผมมันห่วยแตกเกินกว่าจะทำหน้าที่อื่นได้นี่นา

    “หน่วยหมาป่า 10 ประจำที่พร้อมดำเนินการ” เลออสส่งข้อความผ่านเครื่องมือสื่อสารหลังจากที่พวกเราประจำตำแหน่งที่ป้อมปืนกันเรียบร้อย และในอีกไม่กี่นาทีต่อมาก็มีประกาศเพื่อให้เจ้าหน้าที่ทุกคนเตรียมพร้อมเข้าสู่สถานการณ์

    “พวกนายว่าเราจะทำสำเร็จไหม” เอ็ดก้าเอ่ยปากด้วยเสียงที่สั่นเทา 

    “สำเร็จสิ มนุษยชาติใช้เวลาตั้งหลายปีทั้งคิดคำนวณแผนการทั้งสร้างอาวุธชนิดใหม่ ทุกคนร่วมมือกันมันต้องสำเร็จแน่นอน” เลออสบอกกล่าวกับเพื่อนด้วยสีหน้าราบเรียบ แต่ผมก็พอที่จะมองออกว่าเขาเองก็กังวลไม่ใช่น้อย แต่เพราะตัวเองเป็นหัวหน้าหน่วยเลยพยายามข่มกลั้นความรู้สึกนั้นเอาไว้ เขาคงรู้ดีว่าหากตัวเองกังวลล่ะก็สมาชิกทีมทั้งหมดก็จะกังวลไปด้วย

    “อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดเพื่อน และมันไม่เสียหายอะไรที่เราจะมีความหวัง” วินัยเสริม แต่คำพูดของเขาไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้นเลย

    “นี่สาว ๆ พวกนายนี่ขยันคุยเจาะแจ๊ะกันจริงๆนะ ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกน่า โลกนี้น่ะ เดี๋ยวพี่จะปกป้องให้เอง” แมรี่ตะโกนเสียงดังออกมาจากห้องบังคับปืน

    “เพราะแบบนี้แหละน้าถึงไม่มีใครมาจีบซักทีน่ะ” ผมเผลอหลุดปากสิ่งที่กำลังคิดออกไป

    “นายอยากตายก่อนได้ปกป้องโลกใช่ใหมฟิว” แมรี่สวนกลับคำพูดของผมทันควัน

    “เอาน่าถ้าไม่มีใครเอาเดี๋ยวฉันรับผิดชอบเธอเอง”

    “ปากม้า ๆ แบบนายฉันไม่เอาหรอกย่ะ”

    “ถ้าไม่มีฉันแล้วเธอจะอยู่ได้ยังไงมีหวังอดตายแน่ ขนาดทอดไข่เจียวยังไหม้เลย”

    “อย่าฝันอาหารสำเร็จรูปในมินิมาร์ทยังอร่อยกว่าอาหารที่นายทำเยอะ”

    ”อีก 120 วินาทีเป้าหมายจะเข้าสู่ระยะการโจมตีทางอวกาศ” เสียงประกาศดังผ่านเครื่องมือสื่อสารช่วยหยุดบทรักกระหนุงกระหนิงแบบลวงโลกระหว่างผมกับแมรี่เอาไว้ได้

    “เลิกจีบกันแล้วเหรอคู่รักหวานแหวว” วินัยพูดแทรกความคิดของผมขึ้นมา ตอนที่ผมกำลังเหม่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้าเผื่อว่าอาจจะได้เห็นแสงวิบวับของการโจมตีที่เส้นขอบฟ้าบ้าง

    “นายไม่เห็นอะไรบนนั้นหรอกนะ พวกกองกำลังทางในอวกาศอยู่ห่างไปไกลมาก” เลออสตัดบทวินัย คงเพราะไม่อยากให้พวกเราเริ่มบทมุขตลกที่แสนจะน่าเบื่อเรื่องชีวิตรักหนุ่มสาวเป็นแน่ เพราะเขามักจะของขึ้นทุกครั้งที่พวกเราทำแบบนั้นกัน

    “ถ้ามันไกลมากขนาดนั้นก็คงอีกนานสิกว่าจามาถึงพวกเราน่ะ แล้วจะให้พวกเราเข้าประจำที่ทำไมตั้งแต่ตอนนี้เนี่ย” เอ็ดก้าบ่น

    “นี่นายได้เข้าเรียนในชั้นกับพวกเราบ้างรึเปล่าเนี่ย งี่เง่าเอ็ดก้า” แมรี่ตวาดเสียงสูงก่อนที่จะปีนออกมาจากห้องควบคุม

    “เข้าทุกครั้งพร้อมกับเธอนั่นแหละน่า แค่ ..แค่ส่วนที่มันนอกเหนอจากหน้าที่ไม่ได้สนใจก็เท่านั้นเอง”

    “อย่างนายคงไม่รู้ด้วยซ้ำไปมั้ง ว่าพวกเรามาทำอะไรกันที่นี่น่ะ งี่เง่าเอ็ดก้า”แมรี่ท่าท่าเบื่อหน่ายก่อนจะมุดกลับเข้าไปในห้องควบคุมอีกครั้ง

    “ใครกันที่งี่เง่า ฉันรู้ดีน่าพวกเรามาเพื่อจัดการอุกาบาตยักบ้า ๆ นั่นไงล่ะ”เอ็ดก้าตะโกน

    “มันไม่ใช่อุกาบาตนะเอ็ดก้า มันคือดาวเคราะห์แคระ” เลออสแย้ง

    “อุกาบาตที่ขนาดใหญ่จนต้องเรียกประเภทตามขนาดของมันเนี่ยนะ ถึงจะใหญ่แค่ไหนแต่การที่มันจะตกมาชนโลกฉันว่ามันเป็นอุกาบาตนั่นแหละถูกแล้ว” เอ็ดก้าเสนอความคิดเห็น

    “งั้นฉันจะเรียกว่าผัดกะเพราก็แล้วกัน” ผมเสนอชื่อไปแบบขำ ๆ เพื่อทำลายการสนทนาเรื่องเกี่ยวกับ ไซฟาเลี่ยน ที่ตั้งชื่อตามผู้ที่ค้นพบ ติดถึงพวกนั้นเหมือนกันแฮะไม่รู้แต่ละคนจะเป็นยังไงกันบ้าง

    เมื่อ 4 ปีก่อน พวกนั้นบอกว่าไซฟาเลี่ยนมีวิถีทางพุ่งตรงมายังโลกด้วยความเร็วสูง ตอนแรกก็เฉยๆ นะ แต่ด็เพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้ว่าคุณมัสก์พยายามส่งยานไปสำรวจแล้วแต่มันเร็วเกินไปจนตรวจสอบสภาพในระยะใกล้ไม่ได้ และตามการคำนวณของพวกด็อกเตอร์ไซก้า มันจะพุ่งเข้าชนโลกในวันนี้ 

    ถึงจะยายามกันไปมากมายสุดท้ายก็ต้องประกาศประกาศออกไป ในวันนั้นทำให้ผู้คนทั้งโลกตื่นตระหนก หลายคนกักตุนอาหาร หลายคนสร้างที่หลบภัย ช่วงนั้นมันวุ่นวายไปหมด แต่ผมกลับชอบมัน เพราะมันได้สร้างบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาอีกครั้งบนโลก 

    ทั้งการก่อตั้ง Zoms company ทั้งก่อตั้งสหพันธ์โลก ถึงช่วงนั้นจะโคตรเหนื่อยเลยก้เถอะ แต่สุดท้ายแม้แต่ประเทศที่ขัดแย้งกันก็ยังให้ความร่วมมือด้วย แม้แต่พวกนักวิทยาศาสตร์ หรือมหาเศรษฐีที่ถือครองสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์และเทคโนโลยีต่างๆ ก็เอาความรู้ของตัวเองออกมาช่วยแบบไม่มีกั๊ก โลกของเราเลยเกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ทั้งปืนพลังงานที่ผมเคยคิดว่าจะมีแต่ในหนัง หรือดาบแรงสั่นสะเทือนที่ผมชอบจนต้องขอคุณมัสก์มาเก็บไว้ กระทั่งยานยนต์ก็พัฒนาไปมาก 

    ถ้าเทียบกับประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาแล้ว ช่วง 4 ปีมานี้มนุษย์เราพัฒนาเร็วกว่าเดิมถึง 3 เท่าเลยทีเดียว  ความตื่นตระหนก ความกลัว การร่วมมือกัน ทำให้เราพบว่าเรายังพอมีทางออก พวกนักวิทยาศาสตร์คำนวณวิธีการต่าง ๆ นา ๆ เพื่อหาทางรอดจากวิกฤตครั้งนี้ แน่นอนว่าการทะเลาะกับพวกสหพันธ์โลกที่เอะอะก็จะใช้ระเบิดนิวเคลียร์มันแสนจะน่ารำคาญ ในเมื่อการทำลายเป็นตัวเลือกแรกของพวกเขา แต่มันแทบจะไม่มีผลเลยในอวกาศ 

    ขนาดแค่คิดย้อนกลับไปยังหงุดหงิดเลย กว่าจะกล่อมพวกไร้สมองนั่นได้ กว่าจะคิดกลยุทธ์ใหม่ หาวิธีใหม่ จนกระทั่งคิดค้นปืนพลังงานที่ป่นเป้าหมายให้หายไปเป็นอากาศธาตุซึ่งเหมาะกับงานนี้มาก แต่ก็ยังจะติดปัญหาว่าพลังงานของเรานั้นไม่พียงพอที่จะทำปืนให้มีอาณุภาพพอที่จะป่นทำลายอุกาบาตนั้นได้

    พวกเขายังคงไม่หยุดที่คิดค้นพัฒนาจนมีเทคโนโลยีแรงดึงดูดเพิ่มขึ้นมาอีกอย่าง จากข่าวพวกเขาค้นพบมันจากความผิดพลาดในการพยายามสร้างเครื่องกำเนิดพลังรูปแบบใหม่ที่จะเอามาใช้กับปืนพลังงาน ทั้ง 2 อย่างนี่แหละทำให้เกิดแผนการรับมือ ที่พวกเราทุกคนต้องมาช่วยกันในวันตัดสินชะตากรรมของโลก

    ถ้าพวกเราทำไม่สำเร็จก็คือเจ้าอุกาบาตลูกนี้จะพุ่งทะลุโลกของเราไป ราวกับกระสุนปืนที่ยิงผ่านลูกโป่ง โลกของเราจะแตกกลายเป็นเพียงเศษฝุ่นในระบบสุริยะจักรวาล ส่วนไซฟาเลี่ยนจะยังคงพุ่งต่อไปอย่างโชติช่วงในอวกาศอันกว้างไกล และนั่นมันเป็นตอนจบที่ไม่สวยงามเอาเสียเลย เพราะผมจะไม่มีโอกาสได้กินซูชิปลาไหลย่างอีกแล้ว

    “ใช่ผัดกระเพรานั่นเร็วมาก จึงเกิดแผนการปราการ 3 ด่านขึ้นมาไงล่ะ” เลออสเริ่มต้นอธิบายถึงวิธีการป้องกัน....ผัดกระเพรา

    “ตอนนี้ก็น่าจะเริ่มเข้าสู่ปราการด่านแรก พวกกองยานอินทรีคงกำลังพยายามลดความเร็วของผัดกระเพรากันอยู่” เลออสยังคงอธิบายต่อไป

    “และไม่มีสิ่งใดที่แน่นอน ความผิดพลาดอาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ พวกเราเลยต้องเตรียมตัวเผื่อพวกนั้นไม่สามารถลดความเร็วของผัดกระเพราได้มากพอ มันก็จะมาถึงที่นี่เร็วขึ้น ความหวังสุดท้ายก็จะอยู่ที่พวกเรา” วินัยอธิบายบ้าง

    “ตกลงพวกนายจะเรียกมันว่าผัดกะเพราจริง ๆ เหรอ o..o” ผมถาม

     

                “นายเป็นคนเสนอชื่อเองนะ ฟิว” เลออสตอบ

    “อือ ๆ” เอ็ดก้า และวินัยพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน

    “เดี๋ยวๆ ฉันแค่จะเรียกขำ ๆ ทำไมพวกนายไม่ขัดกันบ้างเล่า” ผมแย้ง เพราะคิดว่าการเรียกภัยพิบัติขนาดทำลายโลกนี้ได้ว่าผัดกะเพราะนั่นมันดูงี่เง่าเกินบรรยาย

    “ฉันชอบนะ ผัดกะเพรา แล้วโลกของเราก็เป็นไข่ดาวยังไงล่ะ เหมาะกับนายดีนะ” แมรี่โผล่ออกมาจากห้องขับ พร้อมส่งสายตาดูถูกมาทางผมเป็นของแถม

    “เอ่อ ตามใจพวกนายเถอะ แต่ให้เกียรติคนที่เจอมันบ้างก็ดี” ผมได้แต่ตอบแบบจนใจ

    "ฉันว่าพวกนั้นก็คงกำลังขำกลิ้งกันอยู่เหมือนกันแหละ" เอ็ดก้าพูด

    “แมรี่ วินัย ฟิว เอ็ดก้า เข้าประจำตำแหน่ง ทำตามที่ซ้อมกันไว้ อย่าให้พลาดเด็ดขาด” เลออสออกคำสั่ง"

    รับทราบ!" ทุกคนขานรับพร้อมกัน

    “หน่วยอินทรีเข้าโจมตีแล้ว ความเร็วของผัดกะเพราลดลง 10% อีก 3 พาร์เซก จะถึงชั้นบรรยากาศโลก” เอ็ดก้ารายงานจากจอแสดงผลให้เพื่อนๆ รู้

    “3 พาร์เซกเรอะ!! ความเร็วบ้าอะไรกันนี่ เมื่อไม่กี่นาทีก่อนกองยานของเรายังอยู่ที่ 5 พาร์เซกอยู่เลยนะ” แมรี่โวยวาย

    “คลื่นแรงดึงดูดคงจะไม่ได้ผลเท่าที่คำนวนเอาไว้ หวังว่าพวกข้างบนนั้นคงจะหาวิธีการชะลอความเร็วได้มากพอ ทุกคนเตรียมตัวเอาไว้ให้พร้อมแล้วกัน”เลออสอธิบาย ในขณะที่ตัวผมนั้นได้แต่เหม่อมองท้องฟ้า เพราะหน้าที่ของผมจะจะเริ่มหลังจากยิงกระสุนนัดแรก

    “ความเร็วผัดกะเพราลดลง 20% อีก 2 พาร์เซก ความเร็วของผัดกะเพรายังสูงกว่าที่กำหนดไว้” เอ็ดการ์รายงาน

    อยู่ ๆ เอ็ดก้าก็สะดุ้งตัวโยนด้วยความตกใจที่หน้าจอมอนิเตอร์ “ฟักยู!! ไอ้พวกเลวระยำเอ้ย”

    “เกิดอะไรขึ้น”

    “กองยานอินทรีที่ 1 4 7 15 17 พวกมันนำยานออกจากขบวนป้องกัน”

    “อะไรนะ!!” ทุกคนอุทานพร้อม ๆ กัน

    “กองยานที่ 7 งั้นเรอะ เวรเอ้ย!! อย่ากลับมาโลกเชียวนะไอ้หัวล้านสารเลวเอ้ย” แมรี่สบทอยู่ในห้องควบคุมปืน

    “กองยานที่ 2 3 5 สละตัวเอง พวกเขาใช้ยานขวางไว้ ชดเชยแรงดึงที่ขาดไป” เอ็ดก้ารายงานต่อตามผลที่ได้จากหน้าจอเครื่องมือสื่อสารอย่างตื่นตระหนก

    “ฟัค ฟัค ฟัค ฟัค”แมรี่สบถ

    “ตั้งสมาธิให้ดีแมรี่ อย่าวอกแวก เอ็ดก้านายไม่ต้องรายงานอะไรที่ไม่จำเป็นอีกเข้าใจใหม” เลออสสั่ง แม้เขาเองจะมีสีหน้าที่ซีดเผือด ก็ยังทำเสียงแข็งสั่งการอย่างใจเย็น เลออสเป็นหัวหน้าที่ไม่เลวทีเดียว ขณะที่ผมที่ยืนตัวสั่นกำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือ เขาก็ยังคงเก็บอารมณ์ได้เป็นอย่างดี

    “รับทราบ” ทั้งคู่ตอบรับกันเป็นอย่างดี

    “ระ..ระยะทางผัดกะเพรา เหลืออีก 1 พาร์เซก ความเร็วคงที่อยู่ที่ 73% มันยังเร็วเกินไป” เอ็ดก้าสั่นเทาด้วยความกลัวเพราะความเร็วในการเคลื่อนที่ของผัดกะเพรา และทำให้ผมได้รู้ว่าทำไมผัดกะเพราะถึงจำเป็น ถ้ารอดไปได้ นี่คงเป็นเรื่องเล่าขำขันเรื่องแรก ๆ ที่พวกเราจะยกขึ้นมาคุยกันในงานพบปะสังสรรค์เป็นแน่ เจ้าผัดกะเพราจานยักษ์ และมันคงจะกลายเป็นเรื่องขำขันไม่ได้ถ้าหากเราจะเล่าถึงมันว่าเป็นอุกาบาตรที่จะพุ่งเข้าชนโลก

    “เอ็ดก้าเหลือเวลาอีกเท่าไหร่”เลออสถาม

    “อีก 372 วินาทีจะเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลก” เอ็ดก้าสีหน้าเคร่งเครียด

    “เราต้องรอดกันไปให้ได้เข้าใจนะ อย่าให้เกิดความผิดพลาดขึ้นเด็ดขาด”เลออสกล่าวคำที่น่าจะช่วยปลุกใจทุกคนได้ เสียงหัวใจที่เต้นโครมครามของผมบอกได้ถึงความกลัวที่ก่อตัวมากขึ้น ๆ อีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ จะชีชะตาดาวเคราะห์ที่ชื่อว่าโลกแล้ว และผมก็เป็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆบนดาวดวงนั้นที่จะต้องสลายไปพร้อมกันหากมีความผิดพลาดเกิดขึ้น

    “มีบางอย่างผิดปกติ”เอ็ดก้ารายงาน

    “ผัดกะเพราความเร็วลดลง คงที่อยู่ที่ 30%”

    “เยี่ยมพวกนั้นทำได้ แต่ยังไงกันล่ะ” เลออสทั้งดีใจ และสงสัย 

    “ใช่ลดความเร็วลงได้โดยแลกกับกองยานหน่วยอินทรีที่เหลือทั้งหมด... พวกเขาใช้ยานตัวเอง…”เอ็ดก้ารายงานด้วยสีหน้าตื่นตระหนก และทุกคนที่ได้ฟังก็เช่นกัน พวกเขา..ได้พยายามช่วยโลกจนวินาทีสุดท้ายอย่างเต็มความสามารถ พวกเราทุกคนในหน่วยยืนตรงมองขึ้นฟ้า และทำความเคารพเขาด้วยท่าของทหาร มีแค่แมรี่ที่เงียบงันอยู่ในห้องบังคับ เธอคงจะเสียใจไม่น้อย 

    “หน่วยหมาป่า 10 ทุกคนเตรียมพร้อมอย่าให้การเสียสละของอินทรีสูญเปล่าเด็ดขาด”เลออสตะโกนด้วยสีหน้าจริงจัง

    “อีก 92 วินาที จะถึงชึ้นบรรยากาศ มิสไซด์ต่อต้านถูกปล่อยออกไปแล้ว”เอ็ดก้ารายงาน

    “ทุกคนประจำที่ เตรียมพร้อมรับการปะทะ”เลออสสั่ง ในขณะที่ผมได้แต่แหงนหน้ามองท้องฟ้ามองดูสายสีขาวที่เกิดจากควันของมิสไซด์ที่ยิงออกไปก่อนที่ท้องฟ้าจะมืดครึ้มเพราะอุกาบาตที่เข้ามาบดบังแสงของดวงอาทิตย์ ตามมาด้วยเสียงดังสนั่นหวั่นไหวที่ดังก้องไปทั่วโลก แสงส่วางจ้าจากมิสไซค์หลายหมื่นลูกที่พุ่งเข้ากระแทกอุกาบาต ร่างกายผมเกร็งสั่นสะท้าน ความกลัววิ่งเข้ามาจนขากก้าวแทบไม่ออก ขนาดของมันมหึมาเหลือเกิน 

    “สำเร็จแล้ว กะเพราะแตกตัวออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยตามการคำนวณ” เอ็ดก้าที่ตอนแรกดูจะกลัวมากที่สุดตอนนี้เขากับดูมุ่งมั่นยิ่งกว่าใคร อย่างที่บอก ถ้าจะมีใครรอดไปได้ล่ะก็ผมว่าหมอนี่แหละคนแรก

    “เตรียมล็อกเป้า กลุ่มเป้าหมายจะเข้าระยะยิงในอีก 10 วินาที” เอ็ดก้ารายงาน ในขณะที่ป้อมปืนของเรากำลังหมุนเพื่อปรับระยะ

    “ยิงได้” สิ้นเสียงคำสั่งของเลออส กระสุนปืนพลังงานก็ถูกยิงออกไปบนท้องฟ้า ปลอกกระสุนขนาด 2 เมตรถูกดีดออกมา หรือจะพูดให้ถูกก็คือก้อนแบตเตอร์รี่ขนาด 2 เมตรที่ถูกใช้จนหมดนั่นแหละ และก็ถึงเวลาหน้าที่ของผมแล้วผมต้องขนปลอกกระสุนไปให้พ้นจากพื้นที่ และลำเลียงกระสุนใหม่ให้วินัยเพื่อบรรจุเตรียมยิงนัดต่อไป

    1 นัด 2 นัด และ 3 แมรี่ทำหน้าที่ของเธอได้อย่างเยี่ยมยอดที่สุด ปืนทุกนัดที่ยิงออกไปเข้าเป้าไม่มีพลาดเลยดุเหมือนการฝึกฝนกับทหารเฒ่าคนนั้นจะทำให้เธอเก่งกว่าเดิมอีก

    “แย่แล้ว เจ้านี่มันใหญ่เกินไป!!”แมรี่ตะโกน เมื่อเศษผลึกอุกาบาตรที่เธอยิงไปเมื่อครู่ยังสลายไปไม่หมด

    “โหลดกระสุนใหม่ยิงซ้ำเข้าไป เร็วเข้า” เลออสออกคำสั่ง วินัยรีบยัดกระสุนเข้าสู่รังเพลิง

    “ต้องยิงอีก 2 นัด มันพุ่งตรงมาทางเราด้วย ฉันไม่อยากถูกมันอัดจนแบนไปพร้อมกับปืนใหญ่นี่หรอกนะ” เอ็ดก้าตะโกน ในขณะที่แมรี่ยิงปืนพลังงานอีกนัดเข้าเป้าอย่างแม่นยำ

    “วินัย เริ่งมือเข้า” แมรี่ตะโกนขณะที่วินัยพยายามลำเลียงก้อนแบตเตอรี่ใหม่

    “แมรี่ หยุดก่อน!!” เลออสร้องห้าม

    “มีอะไร”แมรี่ถาม

    “ไอ้บ้าฟิว มันอยู่ที่ปากกระบอกปืน” เลออสตะโกนก้วยความตื่นตระหนก

    ผมปีนขึ้นมาพร้อมคว้าปืนพลังงานของทุกคนมาด้วย ยังไงซะก็จะปล่อยให้แมรี่ยิงอีกนัดไม่ได้เด็ดขาด เพราะหน้าที่ต้องคอยลำเลียงกระสุนของผมทำให้เห็นสิ่งที่คนอื่นไม่ทันสังเกต

    เกิดรอยร้าวที่กระบอกปืนใหญ่พลังงาน ถ้ายิงอีกครั้งล่ะก็พวกเราคงตายก่อนที่เจ้าเศษอุกาบาตนั่นจะพุ่งลงมาทับเสียอีก ผมใช้เชือกผูกติดไกปืนไว้แล้วเหนี่ยวไปยังเป้าหมาย มันอาจจะไม่ได้ผลก็ได้แต่ข้อดีของปืนขนาดเล็กนี่คือมันสามารถยิงได้ต่อเนื่องไม่เหมือนกับปืนใหญ่ ถึงพลังทำลายจะไม่มากเท่าแต่อย่างน้อยอาจจะพอที่จะเจาะรูให้พวกเรารอดได้ก็ได้

    “ไอ้บ้าฟิวทำอะไร” แมรี่โผล่ออกมาจากห้องควบคุม

     

              ผมหันไปยิ้มให้เธอ ”เธอต้องรอดนะ ทุกคนต้องรอด ออกไปให้ห่างจากปืนใหญ่ซะ มันร้าว ฉันจะซื้อเวลาให้”

    ผมเหนี่ยวไกปื้นทั้ง 4 กระบอกยิงไปยังเป้าหมายก่อนที่เลออสจะออกคำสั่ง “แมรี่ ฟิว ลงมาเดี๋ยวนี้”

    “หนีไปซักทีสิพวกบ้าเอ้ย” ผมตะโกนเมื่อเห็นแมรี่ทำสิ่งตรงข้ามกับคำขอของผม เธอหยิบปืนที่สะพายอยู่ด้านหลังของตัวเองออกมา และเหนี่ยวไกช่วยยิงจากด้านบนของห้องควบคุม วินัยเองก็พยายามจะปืนขึ้นมา ยังดีที่เอ็ดก้าวิ่งไปโน่นแล้ว

    "ทุกคนเตรียมหาที่กำบัง"  เอออสออกคำสั่ง ขนาดเวลาอย่างนี้หมอนี่ก็ยังคงมองสถานการณ์ได้แม่นยำ

    ช่วงเวลาที่ทุกคนกำลังอลหม่าน และอีกไม่กี่วินาทีเศษอุกาบาตก็จะร่วงใส่หัวพวกเรา อยู่ๆ ก็มีเสียงประหลาดดังก้องเข้ามาในหัวของผม “พวกเราก็จะช่วยด้วยนะ”

    สิ้นเสียงปริศณา ก็เกิดละอองแสงเล็กๆ ขึ้นรอบปืนพลังงาน และไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตามมันทำให้ปืนพลังงาน 2 กระบอกหลอมรมเข้าด้วยกัน แถมยังมีพลังมากขึ้น สังเกตุจากขนาดของลำแสงมันใหญ่กว่าเดิมอีก 3 เท่าเห็นจะได้ 

    เศษอุกาบาตกระทบกับลำแสงของปืนพลังงานที่ถูกเพิ่มพลังขึ้นโดยไม่รู้สาเหตุนั้นส่องแสงเป็นประกาย มันระเบิดแตกตัวออกกระจายเป็นละอองแสงระยิบระยับทั่วน่านฟ้า ผลึกคริสตัลสีฟ้าใสขนาดเล็กทยอยกันร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า โดยที่ทุกคนลืมสงสัยว่าทำไมเศษคริสตัลเล็กๆ เหล่านี้มันถึงไม่สลายไปเพราะปืนพลังงาน

    “สวยจัง”แมรี่พูดขณะชื่นชมความสวยงามตรงหน้า

    “เรารอดตายแล้วเหรอ” เอ็ดก้าพูดแบบโล่งใจก่อนจะทรุดลงนั่งกับพื้น

    “อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด มนุษย์คงยังชดใช้กรรมไม่หมด” วินัยพูดขณะที่เขามองดูท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยประกายระยิบระยับ

    “เอ่อ พวกเรา..ไอ้นั่นมันตัวอะไร” เลออสขัดจังหวะการปลดปล่อยตัวเองจากความตึงเครียดของทุกคน พร้อมชี้นิ้วตรงมาที่ผมด้วยสีหน้าตื่นตระหนกจนผมบรรรยายไม่ถูก ผมคิดว่าเลออสคงจะเครียดมากเกินไปแน่ๆ

    “เอ๋ มองเห็นฉันด้วยเหรอมนุษย์” ทุกคนมองตามเสียงที่ไม่คุ้นเคยนั้น อาจจะยกเว้นผม เพราะผมว่าผมเคยได้ยินเสียงนี้มาแล้วเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนหน้านี้ 

    สิ่งมีชีวิตรูปร่างเหมือนมนุษย์ มีสีเขียวอ่อนๆ ทั้งตัว และมีปีกเหมือนแมลงสูงประมาณ 1 ฟุต กำลังนั่งยิ้มด้วยความประหลาดใจ บนปากกระบอกปืนพลังงานที่ผมถือ 

     

    - End -

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×